Wednesday, November 10, 2010

GOOD vs. WELL

ความหมายของคำว่า Good และ Well ตามพจนานุกรมคือ


Good (adj.) ดี เหมาะสม
Well (adj. adv.) ดี

อย่างที่เห็นความหมายของทั้งสองคำนี้ใกล้เคียงกันมาก จึงไม่น่าแปลกใจว่าเรามักจะใช้สลับกันไปมา ผิดๆถูกๆ อยู่บ่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น

เมื่อเราถามว่า “How are you doing?” ที่แปลว่า เป็นอย่างไรบ้าง? หลายคนจะตอบทันทีด้วยประโยค “I am doing good.” แปลว่า ฉันสบายดี 

แต่ถ้าแปลตรงตัวจะหมายความว่า ฉันทำดี เพราะฉะนั้น เพื่อให้ถูกหลักไวยากรณ์ เราควรจะตอบคำถาม “How are you doing?” ด้วยประโยค “I’m doing well.” ที่มีความหมายว่า ฉันสบายดี

ในตัวอย่างทั้งสองประโยคตอบรับที่เห็นไปนั้น การเลือกใช้คำว่า good หรือ well ยังเป็นเรื่องสับสนของคนส่วนใหญ่ 

คำว่า good เป็นคำวิเศษณ์ (adjective) และเป็นคำนามในบางกรณี ในขณะที่ well เป็นได้ทั้งคำวิเศษณ์ (adjective) และคำขยายกริยา (adverb) แต่ส่วนใหญ่แล้วจะถูกใช้เป็นคำขยายกริยามากกว่า 

ในประโยคตัวอย่าง เราควรใช้ well เพราะว่าในประโยคนั้นเราจำเป็นต้องมีคำขยายกริยา doing (จาก verb to do) ดังนั้นคำว่า good จึงไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะว่า good ที่เป็นคำวิเศษณ์นี้ไม่สามารถขยายกริยาได้ แม้ว่าความหมายที่ออกมานั้นจะคล้ายกันและใช้แทนกันได้ในภาษาพูดที่ไม่เป็นทางการก็ตาม

บางที่คุณอาจสงสัยว่า แล้วประโยค “I am feeling good.” ที่หมายความว่า ฉันรู้สึกดี หล่ะ 
ใช้ good ในประโยคนี้ถูกต้องไหม? หรือต้องเป็น “I am feeling well.” ... 

เอาหล่ะ นี่อาจจะทำให้งงนิดหน่อย ...................

คำตอบคือประโยคทั้งสองนั้นถูกต้องแล้ว แต่ feeling เป็นกริยาไม่ใช่เหรอ ใช่ค่ะแต่ไม่ใช่กริยาธรรมดา 
มันเป็นกริยาเชื่อม (linking verb) กริยา เชื่อมต่างกับกริยาทั่วๆไปตรงที่มันไม่ได้เป็นตัวที่บอกการกระทำ แต่ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างประธานและคำอื่นๆในประโยค 

ทั้งสองประโยคข้างต้นเราจะเห็นได้ว่า feeling เชื่อม good และ well กลับไปหาประธาน I โดยทั้ง good และ well ไม่ได้ทำหน้าที่ขยายกริยาแต่ทำหน้าที่เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยาย I ประธานของประโยค


ต้องขออธิบายเพิ่มตรงนี้ว่า แม้ว่าเราสามารถใช้ได้ทั้ง good และ well ในประโยคนี้ แต่ความหมายที่ได้นั้นจะแตกต่างกันออกไป 

ประโยค “I am feeling good.” หมายถึงฉันรู้สึกดี (ในด้านอารมณ์ความรู้สึก) 

ส่วนประโยค “I am feeling well.” หมายถึง ฉันรู้สึดี (มีสุขภาพที่ดี)

 
 
สรุป
Good:
  • เป็นคำวิเศษณ์ (adjective) เสมอ 
  • ไม่ใช่คำขยายกริยา (adverb) และไม่สามารถขยายกริยาได้ 
  • good สามารถวางไว้หลัง กริยาเชื่อม (linking verb) ซึ่งนับเป็นกริยากลุ่มพิเศษได้เพื่อจะทำหน้าที่ขยายประธาน

Well: 
  • เป็นได้ทั้งคำวิเศษณ์ (adjective) และ คำขยายกริยา (adverb) ขึ้นอยู่กับบริบท 
  • เมื่อในประโยคมีกริยาภาคแสดง และจำเป็นต้องมีคำขยายกริยาที่ให้ความหมายว่าดี เราจะเลือกใช้ well เสมอ 


credit : http://www.engtest.net/?status=detail&&type=03-08&&topic_id=1175

Adverb (กริยาวิเศษณ์)

ใช้สำหรับขยาย verb, adj., adverb บางตัว

1. Simple adverb (ข้อสอบเน้น)

  • Adverb of Time << adverb ที่ตอบคำถาม When?
    • Ex. He came very late.
  • Adverb of Place << adverb ที่ตอบคำถาม Where?
    • Ex. She found him nowhere.
  • Adverb of Manner or Quality << adverb ที่ตอบคำถาม How?
    • Ex. She was terribly busy.
  • Adverb of Number << adverb ที่ตอบคำถาม How often?
    • Ex. You are always welcome.
  • Adverb of degree or Quantity << adverb ที่ตอบคำถาม How much?
    • Ex. He has almost finished.
  • Adverb of Reason << บอกเหตุผล
    • Ex. Therefore they decided to boycott the meeting.
2. Interrogative adverb << ใช้เพื่อถามคำถาม
                                                         << When, Where, How many, How, How much, Why
       Ex. Why did she come?

3. Relative adverb<< ส่วนใหญ่ข้อสอบจะเป็น Adverbs of Manner เติม -ly ท้าย adj.)
                                                   Ex. Quickly
                                           << ใช้เชื่อม adjectival clause กับ main clause
                                                   Ex. There are days when no one can have a sense of security.นี่คือเวลาที่ไม่มีใครรู้สึกปลอดภัย


  • adjective + ly  = adjective
    • มี 7 คำ
    • deadly, kindly, likely, lonely, lively, lowly
  • noun + ly = adjective 
    • มีจำนวนมาก
    • Ex. friendly
  • adverb ที่ลงท้ายด้วย s เสมอ
    • always, backwards, forwards, indoors, nowadays, perhaps, overseas, sometimes, upstairs
  • verb ที่เป็นได้ทั้ง adverb และ adjective
    • well
    • hard
    • fast
    • far
    • early
    • easy
    • late
    • high
    • low
    • right
    • wrong
    • little
    • much
    • straight
    • near
    • wide
    • loud ( adverb ใช้ loud หรือ loudly ก็ได้)
    • long
    • first
    • daily
    • monthly
    • yearly
    • weekly
  • Adverbs ซึ่งมีความหมายแตกต่างออกไป เมื่อลงท้ายด้วย ly

    AdverbความหมายAdverbความหมาย
      hard  ยาก ลำบาก ( ต้องใช้ความพยายาม )  hardlyไม่ค่อยมี ( scarcely )
      high  สูง ความหมายตรงข้ามกับ "ต่ำ่"  highlyอย่างมาก ( very well )
      late  สาย ช้า ตรงข้ามกับ early ( เร็ว )  latelyเมื่อเร็วๆนี้ ( recently )
      near  ใกล้ ตรงข้ามกับ ไกล ( far)  nearlyเกือบจะ ( almost)
      wide  กว้าง ตรงข้ามกับแคบ ( narrow)  widelyโดยทั่วไป (  commonly)

สรุป
  1. adverb + adjective <<< adverb ขยาย adjective
  2. adverb + v.แท้       <<< adverb ขยาย v.แท้
  3. v.แท้    + adverb    <<< adverb ขยาย v. แท้
  4. verb แท้ + กรรม + adverb <<< adverb ขยาย v.แท้

Verb ( กริยา)

กริยามี 2 ประเภทคือ
1. Main Verb หรือ Principal Verb หรือ กริยาแท้

  • กริยาที่สามารถผันให้อยู่ 4 ช่อง Ex. eat, ate, eaten, eating
  • กริยาช่องที่ 1, กริยาช่องที่ 2 สามารถอยู่ตามลำพังในประโยคได้ หรือหมายความว่าไม่ต้องมีกริยาช่วย
    • Ex. The buffalo kicked the man << ในประโยคนี้มี verb แค่ 1 ตัวคือ kicked ซึ่งเป็นกริยาแท้
  • กริยาช่องที่ 1 สามารถใช้ร่วมกับกริยาช่วยตัวอื่นได้
    • Ex. Thanawut will teach me English. 
        • will เป็น verb ช่วยที่วางไว้หน้ากริยาแท้ช่องที่ 1 เท่านั้นซึ่งก็คือ teach
        • เมื่อวางกริยาช่วยไว้หน้ากริยาแท้แล้ว กริยาแท้ซึ่งก็คือ teach ห้ามเติม s,es เด็ดขาด ถึงแม้ว่าประธานจะเป็นเอกพจน์ก็ตาม
    • Ex. Thanawut is writing an English letter to her father
        • is, am, are, was, were, be วางไว้หน้ากริยาตัวใดกริยาตัวนั้นต้องเติม ing ที่กริยาแท้โดยไม่สนประธาน
  • กริยาช่องที่ 3 ต้องมีกริยาช่วยเสมอ
    • have, had, has ใช้เมื่อประธานเป็นผู้กระทำเอง
    • is, am, are, was, were, be, being, been ใช้เมื่อประธานเป็นผู้ถูกกระทำ
    • Ex. Kannika had written a letter to her mother
      • กรรณิกาเขียนจดหมายให้แม่ของเธอ
    • Ex. The letter was written by Kannika
      • จดหมายถูกเขียนโดยกรรณิกา
  • Suffix
    • -ize = sanitize
    • -en = strengthen
    • -er = discover <<< อาจเป็นคำนาม เช่น teacher
    • -ify = identify
    • -ate = moderate <<< อาจเป็น adjective เช่น immediate
    • -ment = compliment << อาจเป็นคำนาม เช่น argument


2. Auxiliary Verb หรือ กริยาช่วยที่ช่วยกริยาแท้



2.1 Primary Auxiliary Verb << กริยาที่เป็นได้ทั้ง verb แท้และ verb ช่วย

  • verb to be <<< is, am, are, was, were
    • verb ช่วย
      • verb to be + V.ing <<< ใช้สำหรับ active voice
        • Ex. She is translating English into Thai.
      • verb to be + V.3 <<< ใช้สำหรับ passive voice
        • Ex. She was sent to study in London.
      • verb to be + adj  <<< be เป็น linking verb*
        • Ex. Miss Thailand Universe is very beautiful.
    • verb แท้
      • Ex. I am a teacher.
  • verb to do <<< do, does, did
    • verb ช่วย
      • verb to do + V.1 <<ถ้าใช้เป็น verb ช่วยจะมี verb ช่อง 1 ตามด้วยเสมอ
        • Ex. She does not speak English.
    • verb แท้
      • Ex. She does her homework.
  • verb to have << have, has, had
    • verb ช่วย
      • verb to have + V.3
        • Ex. Chin has promised to pay me back.
    • verb แท้
      • Chin has two brothers.

2.2 Modal Auxiliary Verb << กริยาเป็น verb ช่วยได้อย่างเดียว
                                         << ออกข้อสอบเน้นมาก
                                         << ต้องใช้ร่วมกับกริยาแท้เสมอ
                                         << กริยาแท้ที่ตามหลังกริยากลุ่มนี้ต้องเป็น verb ช่อง 1 เท่านั้น
                                         << ตอนทำข้อสอบต้องรู้ว่ามี verb ในประโยคกี่ตัว,verb ช่วยกี่ตัว ,                    
                                               verb แท้วางถูกหรือยัง

                                         << ต้องรู้ว่ากริยาควรอยู่ในรูป active voice หรือ passive voice


  • will,shall + v.1
    • Ex. He will go to school.
  • will,would etc. + have + v.3
    • Ex. He will have read this book soon.
    • จะเห็นว่า will ตามด้วยช่อง 1 เสมอ ซึ่งคือ have แต่ถ้า have มีกริยา่ตามมาอีกจะต้องเป็น v.3 เท่านั้น
  • will,would etc. + have + been + v.3
    • ใช้สำหรับ passive voice << verb to be +v.3
    • Ex. Her bicycle may have been stolen by her own student.
    • รถจักรยานของหล่อนอาจถูกขโมยโดยนักเรียนของหล่อนได้
  • will,would etc. + have + been + v.ing 
    • ใช้สำหรับ active voice << verb to be + v.ing
    • Ex. He should have been wearing a colorful shirt.
    • เขาอาจจะกำลังสวมเสื้อหลากสีอยู่
  • will, shall etc. + have + be + v.ing
    •  Ex. She will be waiting for me at the hotel.
    • หล่อนคงกำลังคอยผมอยู่ที่โรงแรม
  • will,shall etc + have + v.3
    • Ex. You may have passed the test.
    • คุณอาจสอบผ่านแล้ว



*linking verbs คือกริยาที่ไม่ต้องการกรรม แต่ต้องการ adjective เพื่อให้ประโยคสมบูรณ์
ได้แก่ 1. verb to be <<< is, am, are, was, were, be, been
        2. seem, appear, look, feel, taste, grow, taste 
**กริยาแท้และกริยาช่วยมีความสำคัญต่อการทำข้อสอบมาก 

Adjectives (คำคุณศัพท์)

คำคุณศัพท์ คือ คำที่ใช้สำหรับอธิบายคำนาม สั้นๆ ง่าย ๆ ใช่มั้ยล่ะ แต่ในข้อสอบส่วนใหญ่จะขยายนามที่เป็นนามธรรมเสียมากกว่า

ท่องจำเลยนะ
1. คำคุณศัพท์จะวางไว้หน้าคำนาม 
เช่น Japanese is an interesting subject. ( ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่น่าสนใจ)
     - interesting ขยายคำว่า subject

2. คำคุณศัพท์จะวางไว้หลังคำกริยาที่เป็น linking verbs** เพื่อขยายคำนามที่อยู่ด้านหน้า linking verbs** 
เช่น That song is sad. (เพลงนี้เศร้า)
     - sad ขยายคำว่า song ถ้าไม่มี sad ก้อมีแต่คำว่าเพลงนี้ เหมือนเพลงของสิงโต 55

**linking verbs คือกริยาที่ไม่ต้องการกรรม แต่ต้องการ adjective เพื่อให้ประโยคสมบูรณ์
ได้แก่ 1. verb to be <<< is, am, are, was, were, be, been
        2. seem, appear, look, feel, taste, grow, taste 


Suffix
-ate = moderate
-al  = normal
-ed = bored
-ish = sluggish
-ic = economic
-ial = remedial
-less = hopeless
-ly = friendly
-like = childlike
-an = urban
-ent =different
-ous = dangerous
-ing = interesting
-able = comfortable
-y = sunny
-ical = identical
-ory = sensory
-ive = competitive
-ful = beautiful
-some = handsome
-ant = important

รูปแบบที่ต้องจำ

1. a, an, the  + adjective + noun
2. a, an, the + adverb + adjective + noun
3. a, an, the + adjective + noun + noun
4. Subject + linking verb + adjective


****daily, monthly, weekly, yearly, hourly เป็นได้ทั้ง adverb และ adjective

Pronoun (คำสรรพนาม)

อย่างแรกเลย คำสรรพนามคือไรหว่า??? คำสรรพนามก็คือ คำที่ใช้แทนคน สัตว์ สิ่งของ เพื่ออะไรนะเหรอ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวซ้ำกล่าวซาก หรือ ใช้แทนในสิ่งที่คนที่คุยกันรู้อยู่แล้วว่าเป็นอะไร

1. สรรพนามบุรุษที่ 1 จะพูดถึงตัวผู้พูดเอง
2. สรรพนามบุรุษที่ 2 จะพูดถึงตัวผู้ฟัง
3. สรรพนามบุรุษทีี่ 3 จะพูดถึงบุคคลหรือสิ่งที่กล่าวถึง

สิ่งที่ต้องจำคือสิ่งนี้ 


ตัวอย่างการใช้งาน
1. สรรพนามบุรุษที่ 1
   This is my book. นี่คือหนังสือของฉัน
   The book is mine. หนังสือเป็นของฉัน
   I love you. ฉันรักคุณ
   Only look at me. มองมาที่ฉันเท่านั้น
   I can do everything myself.  ฉันสามารถทำทุกอย่างด้วยตนเอง

2. สรรพนามบุรุษที่ 2
   You are not yourself today. วันนี้คุณไม่เป็นตัวของตัวเอง

3. สรรพนามบุรุษที่ 3
   He seemed to recognize me. เขาดูเหมือนจำฉันได้

Noun (คำนาม)

Trick 1. ข้อสอบส่วนมากนิยมออกข้อสอบที่เป็นคำนามที่เป็นนามธรรม ซึ่งแน่นอนว่ามันยากต่อการจดจำ
         2. ข้อสอบส่วนมากจะถามโครงสร้างของภาษาหรือไวยากรณ์ ไม่ได้เน้นแต่จะถามคำศัพท์อย่างเดียว
         3. เมื่อเราเห็นคำศัพท์ปุ๊บ เราต้องรู้เลยว่าคำนั้นเป็นคำนาม และบอกได้อีกว่าเป็นคนหรือสิ่งของ และบอกได้ว่าเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ *
         4. เราต้องรู้ว่าคำนามต้องวางไว้ที่ตำแหน่งใดของประโยค
         5. เราต้องรู้ว่าคำนามคำนั้นเป็นคำนามนับได้, คำนามนับไม่ได้ และ คำนามคำใดเป็นนามธรรม
         6. คำนามที่เป็นคนเป็นคำนามนับได้ที่เป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์
         7. ประธานที่ไม่ใช่คน กริยาที่ใช้จะอยู่ในรูปของ passive voice**
         8. ประธานที่เป็นคน   กริยาที่ใช้จะอยู่ในรูปของ active voice***
         9. หลัง the จะเป็นคำนามเสมอ

*คำนามที่เป็นนามธรรม คืออะไร?? 
แน่นอนชื่อก้อบอกอยู่แล้วว่าคือนาม ซึ่งคำนามชนิดนี้จะมีแค่ชื่อ สัมผัสไม่ได้ ตัวอย่างเช่น บาป, การเรียน, ความฝัน เป็นต้น
**passive voice คืออะไร?? การที่ประธานถูกกระทำ ต้องมี verb to be ในรูปตาม tense และมี verb ช่อง 3 อยู่ในประโยคเดียวกันเสมอ
***active voice คืออะไร?? การที่ประธานเป็นผู้กระทำเอง ถ้ามี verb ช่อง 3 อยู่ในประโยคจะไม่มี verb to be หรือมี verb to be ก็จะไม่มี verb ช่อง 3 กล่าวง่าย ๆ คือมีทีละอย่างอยู่ในประโยคเดียวกัน
****ความแตกต่างระหว่าง active voice และ passive voice ให้ลองดูตัวอย่างดังนี้
      Active voice <<<<<  Yammy sings a song. แปลว่า แยมมี่ร้องเพลง
      Passive voice <<<<<  A song is sung by Yammy. แปลว่า เพลงถูกร้องโดยแยมมี่

Suffix เป็นสิ่งสำคัญจะต้องจำไม่งั้นจะทำข้อสอบไม่ได้เพราะมีประโยชน์มาก ๆ
1. เป็นคำนามและไม่ใช่คน
-tion = relation                        
-dom = kingdom         
-ence = difference                   
-ance = importance
-ity = necessity                       
-hood = brotherhood 
-ness = happiness                     
-ery = recovery
-ship = relationship                  
-tude = solitude        
- ism = industrailism                 
-cracy = democracy
-logy = psychology                   
-ace = menace           
-ment = argument                     
-th = death
-ice = advice
2. เป็นคำนามนับได้และเป็นคน
-er = teacher          
-or = governor           
-ist = scientist            
-ee = employee
-ic = comic              
-ian = musician          
-ant = participant       
-ier = cashier
-ent = agent            
-ard = coward           
-ar = beggar

อย่าลืม จำ suffix ให้ได้ทั้งหมดแล้วจะมาต่อเรื่อง pronoun จ้าาาาาา